คำนวณราคาหลอดไฟฟ้า แบบไหนคุ้มค่ากว่าในระยะยาว
ในปัจจุบัน การเลือกหลอดไฟที่เหมาะสมไม่เพียงแต่ส่งผลต่อความสว่างในบ้านเท่านั้น แต่ยังมีผลโดยตรงต่อค่าไฟฟ้าที่เราต้องจ่ายในแต่ละเดือนด้วย ดังนั้น การเข้าใจเรื่องราคาหลอดไฟฟ้าและวิธีการคำนวณค่าไฟจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้ มาดูกันว่าเราจะคำนวณและเลือกหลอดไฟอย่างไรให้คุ้มค่าที่สุดกันครับ
หัวข้อเนื้อหา
ประเภทของหลอดไฟและราคาหลอดไฟฟ้า
ก่อนที่เราจะเริ่มคำนวณ มาทำความรู้จักกับประเภทของหลอดไฟที่นิยมใช้ในบ้านเรือนกันก่อน
- หลอดไส้ เป็นหลอดไฟแบบดั้งเดิม มีราคาถูกที่สุด แต่ใช้พลังงานมากและมีอายุการใช้งานสั้น
- หลอดฟลูออเรสเซนต์ ประหยัดไฟกว่าหลอดไส้ มีอายุการใช้งานนานขึ้น แต่มีสารปรอทเป็นส่วนประกอบ
- หลอด LED ประหยัดไฟมากที่สุด มีอายุการใช้งานยาวนาน แต่มีราคาสูงกว่าหลอดประเภทอื่น
ราคาหลอดไฟฟ้าแต่ละประเภทมีความแตกต่างกัน โดยทั่วไปแล้ว หลอด LED จะมีราคาสูงกว่าหลอดไส้และหลอดฟลูออเรสเซนต์ แต่ด้วยประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานและอายุการใช้งานที่ยาวนาน ทำให้คุ้มค่ากว่าในระยะยาว
วิธีคำนวณค่าไฟฟ้าจากการใช้หลอดไฟ
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน เรามาลองคำนวณค่าไฟฟ้าจากการใช้หลอดไฟ LED กันดู โดยจะใช้ตัวอย่างการติดตั้งหลอดไฟ LED ในห้องนั่งเล่น ดังนี้
- หลอดไฟ LED ขนาด 5 วัตต์ จำนวน 10 หลอด
- เปิดใช้งานวันละ 6 ชั่วโมง
ขั้นตอนที่ 1: คำนวณหน่วยการใช้ไฟฟ้า
สูตร: (กำลังไฟฟ้า (วัตต์) x จำนวนหลอดไฟ ÷ 1,000) x จำนวนชั่วโมงที่ใช้ใน 1 วัน = จำนวนหน่วยต่อวัน
(5 x 10 ÷ 1,000) x 6 = 0.3 หน่วยต่อวัน
หน่วยการใช้ไฟฟ้าต่อเดือน = 0.3 x 30 = 9 หน่วย
ขั้นตอนที่ 2: คำนวณค่าไฟฟ้า
เพื่อให้การคำนวณสมบูรณ์ เราจะรวมการใช้ไฟฟ้าจากอุปกรณ์อื่นๆ ในบ้านด้วย ดังนี้
- หลอดไฟ LED (ห้องนั่งเล่น): 9 หน่วย/เดือน
- LED TV: 10.8 หน่วย/เดือน
- หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์: 21.6 หน่วย/เดือน
- ตู้เย็น: 108 หน่วย/เดือน
รวมการใช้ไฟฟ้าทั้งหมด = 9 + 10.8 + 21.6 + 108 = 149.4 หน่วย/เดือน
ตามอัตราค่าไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวง (สำหรับบ้านอยู่อาศัย) 150 หน่วยแรก หน่วยละ 3.2484 บาท
ค่าไฟฟ้า = 149.4 x 3.2484 = 485.51 บาท
ขั้นตอนที่ 3: คำนวณค่า Ft และภาษีมูลค่าเพิ่ม
ค่า Ft ล่าสุด = 91.19 สตางค์/หน่วย
สูตร: ค่าไฟฟ้ารวม = (ค่าไฟฟ้าที่คำนวณได้ + (Ft x จำนวนหน่วย) ÷ 100) x 1.07
ค่าไฟฟ้ารวม = (485.51 + (91.19 x 149.4) ÷ 100) x 1.07 = 682.72 บาท
เปรียบเทียบความคุ้มค่าระหว่างหลอดไฟประเภทต่างๆ
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่าหลอดไฟประเภทใดคุ้มค่ากว่าในระยะยาว เรามาเปรียบเทียบการใช้งานหลอดไฟ 3 ประเภทในห้องนั่งเล่นเดียวกัน โดยใช้ความสว่างที่เทียบเท่ากัน
- หลอดไส้ 60 วัตต์ 10 หลอด
- หลอดฟลูออเรสเซนต์ 14 วัตต์ 10 หลอด
- หลอด LED 5 วัตต์ 10 หลอด (ตามตัวอย่างข้างต้น)
การคำนวณหน่วยการใช้ไฟฟ้าต่อเดือน:
- หลอดไส้: (60 x 10 ÷ 1,000) x 6 x 30 = 108 หน่วย
- หลอดฟลูออเรสเซนต์: (14 x 10 ÷ 1,000) x 6 x 30 = 25.2 หน่วย
- หลอด LED: 9 หน่วย (ตามที่คำนวณไว้แล้ว)
ค่าไฟฟ้าต่อปี (คิดเฉพาะหลอดไฟในห้องนั่งเล่น):
- หลอดไส้: 108 x 3.2484 x 12 = 4,212.22 บาท
- หลอดฟลูออเรสเซนต์: 25.2 x 3.2484 x 12 = 982.85 บาท
- หลอด LED: 9 x 3.2484 x 12 = 351.02 บาท
ราคาหลอดไฟและอายุการใช้งาน:
- หลอดไส้: ราคาประมาณ 20 บาท/หลอด อายุการใช้งาน 1,000 ชั่วโมง
- หลอดฟลูออเรสเซนต์: ราคาประมาณ 50 บาท/หลอด อายุการใช้งาน 8,000 ชั่วโมง
- หลอด LED: ราคาประมาณ 100 บาท/หลอด อายุการใช้งาน 25,000 ชั่วโมง
ค่าใช้จ่ายรวมใน 5 ปี:
1.หลอดไส้
- ค่าไฟ 5 ปี 4,212.22 x 5 = 21,061.10 บาท
- ค่าหลอดไฟ (20 x 10) x (6 x 365 x 5 ÷ 1,000) = 2,190 บาท
- รวม 23,251.10 บาท
2.หลอดฟลูออเรสเซนต์
- ค่าไฟ 5 ปี 982.85 x 5 = 4,914.25 บาท
- ค่าหลอดไฟ (50 x 10) x (6 x 365 x 5 ÷ 8,000) = 684.38 บาท
- รวม 5,598.63 บาท
3.หลอด LED
- ค่าไฟ 5 ปี 351.02 x 5 = 1,755.10 บาท
- ค่าหลอดไฟ 100 x 10 = 1,000 บาท (ไม่ต้องเปลี่ยนในระยะเวลา 5 ปี)
- รวม:2,755.10 บาท
หลอดไฟแบบไหนคุ้มค่ากว่าในระยะยาว?
จากการคำนวณข้างต้น เราสามารถสรุปได้ว่า
- หลอด LED มีค่าใช้จ่ายรวมต่ำที่สุดในระยะยาว แม้จะมีราคาหลอดไฟฟ้าที่สูงกว่าในตอนแรก
- หลอดฟลูออเรสเซนต์มีค่าใช้จ่ายรวมที่ต่ำกว่าหลอดไส้มาก แต่ยังสูงกว่าหลอด LED
- หลอดไส้มีค่าใช้จ่ายรวมสูงที่สุด แม้จะมีราคาหลอดไฟฟ้าที่ถูกที่สุด
ดังนั้น หากพิจารณาในแง่ของความคุ้มค่าระยะยาว หลอด LED จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด นอกจากจะประหยัดค่าไฟฟ้าแล้ว ยังมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนหลอดไฟบ่อยๆ
อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้หลอดไฟแต่ละประเภทยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ด้วย เช่น
- คุณภาพของแสง บางคนอาจชอบแสงนวลของหลอดไส้มากกว่า
- ความเข้ากันได้กับอุปกรณ์หรี่ไฟ หลอด LED บางรุ่นอาจไม่สามารถใช้ร่วมกับระบบหรี่ไฟ
- การกระจายแสง หลอดบางประเภทอาจให้แสงที่กระจายได้ดีกว่าในบางพื้นที่
เทคนิคการประหยัดค่าไฟจากการใช้หลอดไฟ
นอกจากการเลือกใช้หลอดไฟที่มีประสิทธิภาพสูงแล้ว ยังมีเทคนิคอื่นๆ ที่สามารถช่วยประหยัดค่าไฟจากการใช้หลอดไฟได้ ดังนี้
- ใช้แสงธรรมชาติให้มากที่สุด เปิดม่านหรือหน้าต่างในเวลากลางวันเพื่อใช้แสงธรรมชาติแทนการเปิดไฟ
- ติดตั้งสวิตช์อัตโนมัติหรือเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว ช่วยให้ไฟปิดโดยอัตโนมัติเมื่อไม่มีคนอยู่ในห้อง
- แยกสวิตช์ควบคุมหลอดไฟ แทนที่จะใช้สวิตช์เดียวควบคุมหลอดไฟหลายดวง ให้แยกสวิตช์เพื่อเปิดใช้เฉพาะดวงที่จำเป็น
- ใช้ไฟเฉพาะจุด ในพื้นที่ที่ต้องการแสงสว่างเฉพาะจุด เช่น โต๊ะทำงาน ให้ใช้โคมไฟตั้งโต๊ะแทนการเปิดไฟทั้งห้อง
- ทำความสะอาดหลอดไฟและโคมไฟสม่ำเสมอ ฝุ่นที่เกาะบนหลอดไฟและโคมไฟสามารถลดประสิทธิภาพการส่องสว่างได้
- ใช้สีอ่อนในการทาสีผนังและเพดาน สีอ่อนช่วยสะท้อนแสงได้ดีกว่า ทำให้ห้องดูสว่างขึ้นโดยใช้หลอดไฟกำลังวัตต์ต่ำลงได้
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟ สร้างนิสัยปิดไฟทุกครั้งเมื่อออกจากห้อง และไม่เปิดไฟทิ้งไว้โดยไม่จำเป็น
การเลือกซื้อหลอดไฟให้เหมาะสมกับการใช้งาน
เมื่อเราเข้าใจเรื่องราคาหลอดไฟฟ้าและการคำนวณค่าไฟแล้ว การเลือกซื้อหลอดไฟให้เหมาะสมกับการใช้งานก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำในการเลือกซื้อหลอดไฟ:
- พิจารณาความสว่าง (ลูเมน) มากกว่ากำลังไฟฟ้า (วัตต์): หลอดไฟรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ LED สามารถให้ความสว่างเท่ากับหลอดไส้ที่ใช้กำลังไฟฟ้ามากกว่า ดังนั้นควรดูค่าลูเมนเป็นหลัก
- เลือกอุณหภูมิสี (เคลวิน) ให้เหมาะกับพื้นที่ใช้งาน
- แสงสีขาวเย็น (5000K-6500K) เหมาะสำหรับห้องครัว ห้องน้ำ หรือพื้นที่ทำงาน
- แสงสีขาวนวล (2700K-3000K) เหมาะสำหรับห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือพื้นที่พักผ่อน
- ตรวจสอบค่า CRI (Color Rendering Index) ยิ่งค่า CRI สูง แสงจากหลอดไฟจะแสดงสีของวัตถุได้ใกล้เคียงธรรมชาติมากขึ้น ควรเลือกหลอดไฟที่มีค่า CRI 80 ขึ้นไป
- พิจารณาขั้วหลอดไฟให้เข้ากับโคมไฟที่มีอยู่ เช่น E27, E14, GU10 เป็นต้น
- ตรวจสอบความเข้ากันได้กับอุปกรณ์หรี่ไฟ หากต้องการใช้ร่วมกับระบบหรี่ไฟ ต้องเลือกหลอดไฟที่รองรับการหรี่แสงได้
- พิจารณาอายุการใช้งานของหลอดไฟ หลอด LED ที่มีคุณภาพดีควรมีอายุการใช้งาน 15,000 ชั่วโมงขึ้นไป
- ตรวจสอบการรับประกัน เลือกซื้อจากแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและให้การรับประกันที่ดี
การตัดสินใจเลือกหลอดไฟที่คุ้มค่า
การเลือกหลอดไฟที่คุ้มค่าในระยะยาวนั้นไม่ได้พิจารณาเพียงแค่ราคาหลอดไฟฟ้าเริ่มต้นเท่านั้น แต่ต้องคำนึงถึงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน อายุการใช้งาน และค่าไฟฟ้าที่ต้องจ่ายตลอดอายุการใช้งานของหลอดไฟด้วย
จากการคำนวณและเปรียบเทียบที่เราได้ทำไปแล้วนั้น เห็นได้ชัดว่าหลอด LED เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าที่สุดในระยะยาว แม้จะมีราคาเริ่มต้นที่สูงกว่า แต่ด้วยประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานและอายุการใช้งานที่ยาวนาน ทำให้สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจเลือกหลอดไฟควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น ลักษณะการใช้งาน ความต้องการด้านคุณภาพแสง และงบประมาณที่มี นอกจากนี้ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟและการใช้เทคนิคประหยัดพลังงานต่างๆ ก็สามารถช่วยลดค่าไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การลงทุนในหลอดไฟที่มีประสิทธิภาพสูงอย่าง LED อาจดูเหมือนมีค่าใช้จ่ายสูงในตอนแรก แต่เมื่อพิจารณาถึงผลประหยัดในระยะยาวแล้ว จะเห็นได้ว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าอย่างแท้จริง ไม่เพียงแต่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดการใช้พลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
เมื่อถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนหลอดไฟในบ้านของคุณ อย่าลืมนำความรู้เรื่องการคำนวณราคาหลอดไฟฟ้าและค่าไฟฟ้าที่ได้เรียนรู้จากบทความนี้ไปประยุกต์ใช้ เพื่อการตัดสินใจที่ชาญฉลาดและประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาวครับ
และแน่นอนว่า Well Lighting มีบริการออกแบบสภาพแวดล้อมของแสงจากไฟที่ลูกค้าเลือก รวมถึงช่วยออกแบบการวางตำแหน่งไฟดวงต่างๆ เพื่อให้ได้ความสว่างตามสไตล์ที่ลูกค้าต้องการ และช่วยคำนวนค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นกับระบบส่องสว่างในอนาคตให้กับท่านได้ด้วยเช่นกัน สนใจบริการนี้ ติดต่อเรามาได้ที่ช่องทางในหน้า Contact หรือทาง Facebook Fanpage ของเรากันได้เลยนะครับ
สินค้าที่อาจเกี่ยวข้องกับบทความ